วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำคณะผู้แทน OIC นำโดย Mr.Yousef Mohammed S.Aldobeay ผู้ช่วยเลขาธิการฝ่ายการเมืองของ OIC Mr. El Habib Bourane ผู้อำนวยการกองชุมชนและชนกลุ่มน้อยของมุสลิม Ms. Ibrahim Patou เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองระดับชำนาญการ และผู้แทนจากกระทรวงการต่างประเทศ ลงพื้นที่เยี่ยมชมมัสยิดรายอฟาฏอนี จังหวัดปัตตานี ซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่และเป็นศาสนสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพี่น้องชาวปัตตานี โดยภายในบริเวณมัสยิดยังเป็นที่ตั้งของ ศูนย์การศึกษาอิสลาม (ตาดีกา) ประจำมัสยิดรายอปัตตานี เพื่อให้เด็กๆในบริเวณใกล้เคียงได้มาเล่าเรียนในช่วงเวลาเย็น
สำหรับมัสยิดรายอฟอฏอนี ตั้งอยู่บนถนนยะรัง ซอย 8 ตำบลจะบังติกอ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี เริ่มก่อสร้างเมื่อสมัยเมืองปัตตานีเป็นเมืองหรือรัฐปัตตานี มีเจ้าเมืองปกครองตนเอง คือ สุลต่านมูฮัมหมัด หรือ ตนกูบือซาร์ หรือ ตนกูปะสา เป็นเจ้าเมืองปัตตานี ช่วงประมาณ พ.ศ. 2388-2399 ได้ทรงเริ่มสร้างมัสยิดประจำเมืองปัตตานีในสมัยตนกูปูเต๊ะฮฺ พ.ศ. 2399-2424 เดิมเป็นสุเหร่าอาคารไม้ สร้างในรั้ววัง ต่อมาได้ย้ายมาสร้างเป็นอาคารถาวร ณ ที่ปัจจุบัน ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของวังเจ้าเมือง ก่อนถึงสุสานหลวง (กูโบร์โต๊ะอาเยาะฮฺ) ต่อมาตนกูตีมุง พ.ศ. 2424-2433 ได้ทรงแต่งตั้ง ฮัจญีอับดุลาเตะฮฺ ดาโต๊ะ เป็นอีหม่ามท่านแรกอย่างเป็นทางการ และได้ขยายอาคารเพิ่มเติม แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จสมบูรณ์ท่านได้เสียพระชนม์เสียก่อน ต่อมาตนกูสุไลมานหรือตนกูบอซู พระอนุชาตนกูปูเต๊ะฮฺ ได้ทรงสร้างต่อจนแล้วเสร็จ มีการขยายอาคารในส่วนที่เป็นอิฐเพิ่มเติม พร้อมทั้งได้ประดับลวดลายภายในมัสยิดด้วยไม้แกะสลัก พรรณพฤกษา และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “มัสยิดรายอฟาฏอนี” ตามคำเรียกชื่อเมืองปัตตานี มัสยิดแห่งนี้มีความโดดเด่นที่สถาปัตยกรรม มลายูปาตานี ซึ่งผสมระหว่างอาคารทรงพื้นเมืองหลังคา 2 ชั้น ทรงปั้นหยา และยอดโดมแบบสถาปัจยกรรมตะวันออกที่อยู่ด้านหลังของอาคาร
ปัจจุบันมัสยิดแห่งนี้ยังคงเปิดให้พี่น้องประชาชนชาวมุสลิมในพื้นที่เข้าไปปฏิบัติศาสนกิจได้ตามปกติ และยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมรวมทั้งศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติของมัสยิดอีกด้วย นอกจากนี้คณะได้เยี่ยมชมมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีซึ่งได้ชื่อว่าเป็นมัสยิดที่สวยที่สุดในประเทศไทย อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมอันงดงาม ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก ทัชมาฮาล ประเทศอินเดีย ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ส่วนด้านหน้าก็มีสระน้ำขนาดใหญ่ เสริมองค์ประกอบให้มัสยิดดูเด่น สง่ามากยิ่งขึ้น จนทำให้ที่นี่ถูกขนานนามให้เป็น “ทัชมาฮาลเมืองไทย”
ทั้งนี้มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2497 โดยใช้พื้นที่บริเวณริมถนนหลวงสายปัตตานี-ยะลา ย่านตำบลอาเนาะรู กว้าง 3 ไร่ 55 ตารางวา ตามแนวคิดของรัฐบาลในสมัยนั้นที่ต้องการให้เกิดสันติสุขขึ้นในพื้นที่ห่างไกลที่มักมีความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งจากสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่พัฒนาและความแตกต่างทางศาสนา ใช้เวลาก่อสร้างนาน 9 ปี เมื่อแล้วเสร็จจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีได้เดินทางมาทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2506 ให้ชื่อว่า “มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี” และมอบเป็นของขวัญแก่ประชาชนชาวมุสลิมในพื้นที่ หลังจากนั้นมีการบูรณะซ่อมแซมและต่อเติมเมื่อคราวใช้ต้อนรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2536 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งกับ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้บูรณะปรับปรุงอาคารของมัสยิด กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองศิริราชสมบัติเป็นปีที่ 50 ใน พ.ศ. 2539 ส่งผลให้ตัวอาคารขยายและต่อเติมออกทั้ง 2 ข้าง และยังสร้างหออะซานเพิ่มอีก 2 หอ ในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีแห่งนี้มีความสำคัญต่อพสกนิกรชาวจังหวัดปัตตานีเป็นอย่างมาก เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีเป็นประจำทุกปี ยังความปลื้มปิติและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณแก่พสกนิกรในพื้นที่อย่างหาที่สุดมิได้
588 total views, 1 views today